วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK5 : Ball Joint Doll (BJD)

Ball Joint Doll 


    สวัสดีค่ะทุกๆคน ^^ วันนี้เราจะมาแนะนำตุ๊กตาชนิดนึงที่เราชอบมากกกกก และอยากได้มาก 55 ในครั้งนี้เราเลยอยากมาเขียนบอกเล่าเกี่ยวกับตุ๊กตาประเภทนี้ให้ทุกๆคนได้อ่านกันค่ะ มาดูกันค่ะว่าตุ๊กตาประเภทนี้มีอะไรที่พิเศษและน่ารักขนาดไหน มาหลงรัก BJD ไปพร้อมๆกันเลยนะคะ :)
 

    เราเชื่อว่าในวัยเด็กๆ เด็กผู้หญิงเกือบทุกคนคงเคยเล่นตุ๊กตา ไม่ว่าจะเป็น ตุ๊กตาบาร์บี้ ตุ๊กตาบลายธ์ หรือแม้กระทั่งตุ๊กตากระดาษเหมือนกับเรา แต่เราเชื่อว่า คงมีคนส่วนน้อยที่จะรู้จักตุ๊กตา BJD หรือมีชื่อเต็มๆที่เรียกว่า Ball Joint Doll หรือ บอลล์ จอยท์ ดอลล์ มีความหมายว่าตุ๊กตาที่ข้อต่อเป็นระบบ "บอลล์กับเบ้า" ค่ะ
*ต่อจากนี้เราขอเรียกชื่อตุ๊กตานี้ว่า BJD นะคะ เพื่อง่ายต่อการบรรยาย และ เม้าท์มอย*

    ในครั้งแรกที่เราได้รู้จักตุ๊กตาชนิดนี้ เราเจอจากภาพในอินเตอร์เน็ต เราเองก็ไม่คิดว่าคือตุ๊กตา เราคิดว่ามันเป็นคอมพิวเตอร์กราฟฟิคหรือเป็นรูปการ์ตูนอะไรซักอย่าง พอมารู้ว่าเป็นตุ๊กตาเรานี่หลงรักมันเลย ตุ๊กตาอะไรจะไม่เหมือนตุ๊กตาขนาดนี้ เราเลยเริ่มสืบว่ามันมีความเป็นมายังไง ผลิตที่ไหน คืออยากได้มากในตอนเด็ก (ตอนนี้ก็ยังอยากได้อยู่ ^^) ถึงได้รู้ว่ามันคือ BJD 
เป็นตุ๊กตาก็มีซิคแพคนะจ๊าา
   หลายๆคนที่เข้ามาอ่านคงงงๆกัน ว่าไอ BJD เนี่ย มันตัวอะไร?? BJD ก็คือตุ๊กตาชนิดหนึ่งที่มีข้อต่อเหมือนๆกับคน ซึ่งต่างจากพวกบาร์บี้ หรือบลายธ์ที่ขยับได้เฉพาะส่วนหัว แขน ขา และเอว ดังนั้นข้อได้เปรียบของตุ๊กตาประเภทนี้คือสามารถจับปรับเปลี่ยนท่าได้ตามใจเจ้าของ สามารถโพสท่าถ่ายรูปได้หลากหลายแอ็ก จึงทำให้เป็นตุ๊กตาที่มีราคาแพง สำหรับตอนนี้ก็อย่าพึ่งพูดถึงราคากันเลย ไว้รอท้ายๆละกัน ฮาๆ
    ตุ๊กตาชนิดนี้เริ่มต้นผลิตที่ญี่ปุ่นค่ะ แต่ในปัจจุบันจะมีจีน เกาหลีและบางประเทศทางแทบตะวันตกผลิตออกมาบ้างแล้ว BJD จะมีลักษณะเด่นในแต่ละตัวมากมายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรุ่นหรือบริษัทที่ผลิตออกมา
 

ตุ๊กตาตัวหนึ่งมีข้อต่อกี่ตำแหน่ง

    จำนวนข้อต่อของตุ๊กตาแต่ละรุ่นแตกต่างกันไปค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะมีข้อต่อหลักๆ ที่ศีรษะต่อลำคอ, ไหล่ต่อแขน, ข้อศอก, ข้อมือ, ข้อต่อลำตัว (บางรุ่นไม่มีเพื่อความสวยงามค่ะ แต่บางรุ่นมีเพื่อช่วยให้โพสท่าหันลำตัวดีขึ้น อาจมี 1 หรือ 2 ข้อต่อแล้วแต่ความเทพ), สะโพกต่อต้นขา (ช่วยในการนั่ง), ข้อต่อหมุนที่ต้นขา (ช่วยในการนั่งไขว่ห้างหรือขัดสมาธิ รุ่นเก่าหน่อยจะไม่มีค่ะ), หัวเข่า, ข้อเท้า และอาจมีข้อต่อที่เท้าเพื่อช่วยในการโพสท่ายืนเขย่งด้วยค่ะ 
    จำนวนข้อต่อของตุ๊กตา ในแต่ละรุ่นก็จะแตกต่างกันออกไปแต่หลักๆ แล้วก็คือ
  1. ศีรษะต่อลำคอ 
  2. ไหล่ต่อแขน
  3. ข้อศอก
  4. ข้อมือ
  5. ข้อต่อลำตัว(บางรุ่นไม่มี แต่บางรุ่นอาจจะมี 1 หรือ 2 ข้อต่อแล้วแต่ 
  6. สะโพกต่อต้นขา(ช่วยในการนั่ง)
  7. ข้อต่อหมุนต้นขา(ช่วยในการนั่งไขว่ห้างหรือขัดสมาธิ <<< (O[]O’) พาไปวิปัสนาด้วยได้หรอเนี่ยะ 555)
  8. หัวเข่า 
  9. ข้อเท้าและอาจจะมีข้อต่อที่เท้าเพื่อใช้ในการเขย่ง(จะเทพไปไหนเนี่ยะ!)

ยืมภาพจาก Domuya นะคะ
  ส่วนข้อต่อแปลกๆก็มีเหมือนกันค่ะ อย่างเช่น "ข้อต่อนิ้ว" ยืมภาพจาก Soom นะคะ นี่คือ Spinel ค่ะ
เป็นข้อต่อที่ละเอียดมากๆ ถึงมากที่สุด 0-0! เอาไว้ช่วยในการโพสท่าคีบบุหรี่ ดีดพิณ ดีกีต้าร์ บลาๆๆ แต่เมื่อมีความพิเศษ ราคาก็จะพิเศษตามไปด้วยค่ะ


    ข้อต่อที่เราคิดว่าแปลกและไม่พบบ่อยก็น่าจะเป็น"ข้อต่อหัวนม" // คือเราไม่ได้หื่นนะ มันมีจริงๆ -,- // ซึ่งเราก็ไม่รู้เหตุผลที่มันมีข้อต่อตรงส่วนนี้เลย?? หรือว่ามันจะสร้างมาเพื่อความฟินของเจ้าของตุ๊กตาว้าาาาาาา งืมๆ


    นี่คือ Notdoll Full Operation Royma ที่ผลิต Emotional body ออกมาเพื่อให้ช่วยสร้างอารมณ์ (กับตุ๊กตาหรือเจ้าของก็ไม่ทราบ)

ซื้อตุ๊กตาตัวนึงเราจะได้อะไรมาบ้าง?

    สิ่งที่เราจะได้รับ ก็แตกต่างไปตามแต่ทางบริษัทเขาจะจัดให้ค่ะ แต่พื้นฐานแล้วจะได้รับ ศีรษะพร้อมcover (พลาสติกสำหรับปิดหน้า) ดวงตา, ร่างกายและวิกผม แต่บางแห่งอาจไม่ให้ cover, วิก หรือดวงตาก็ได้ ก็ต้องเช็คกันดีๆ ส่วนเสื้อผ้ามักเป็น optional ค่ะ บางที่ให้เลือกว่าจะเอาหรือไม่เอา แต่บางที่ก็ไม่มีให้เลย ต้องอ่านรายละเอียดดีๆ ก่อนรองเท้าส่วนใหญ่จะไม่แถมเลยยกเว้น Full set ซึ่งจะสำเร็จรูปให้ทุกอย่างแล้ว
นี่คือหัวเปล่าๆ Shall head ของ D.O.T นะคะ
ลูกตาดวงโตๆ 0-0
ถอดเปลี่ยนหน้าได้ด้วยค่ะ
    ตุ๊กตามาตรฐานจะมาหน้าโล้นๆ เลยนะคะ แบบ Shall head น่ะค่ะ แต่ make-up is magic จริงๆ หากเอาหัวน้องแชลมาแต่งหน้าซะก็จะได้ออกมาเป็น Sha และ Shall นะคะ เป็นผู้ชายผู้หญิงต่างกันเลยล่ะค่ะ หากอยากแต่งหน้าให้ตุ๊กตา ผู้ผลิตส่วนใหญ่ไม่ได้รวมการทำเมคอัพเข้าไว้กับราคาของตุ๊กตาด้วย เราต้องสั่งแยกต่างหากค่ะ เมคอัพนี้ก็มีแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแต่งหน้าแบบปกติ หรือจะเพิ่มขนตาเด้งๆ ทำรอยแผลเป็น รอยสัก ไรหนวด เยอะแยะสารพัดค่ะ
make-up is magic เป็นหญิงก็สวย เป็นชายก็หล่อ
สมมติว่าวางอยู่กลางบ้านก็แอบหลอนเบาๆ

ตุ๊กตาที่เราซื้อมีผิวสีอะไร

    บริษัทผู้ผลิตส่วนใหญ่ทำสีผิวออกมาแตกต่างกัน 1-3 โทนให้เราเลือกซื้อตามความชอบนะคะ ชื่ออาจจะแตกต่างกันไปตามผู้ผลิต แต่โดยสรุปก็ไม่พ้นโทนเหล่านี้ค่ะ

  1. ผิวปกติ (normal skin)  จะเป็นสีผิวที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุด มักเป็นสีโทนเหลืองหรืออมชมพูค่ะ ถือเป็นสีมาตรฐานที่สุดและแต่งง่ายที่สุดเลยค่ะ
  2. ผิวขาว (white skin, snow skin, vampire skin)  เป็นสีขาวแบบไม่มีสีเลือด ขาวจัวะเหมือนแวมไพร์นะคะ ผิวสีนี้นำมาแต่งออกแนว gothic ทาตาดำๆ ใส่ชุดฟ่องๆ ล่ะงามนักเลยค่ะ

  3. ผิวแทน (tanned skin)  คือผิวเกรียมแดด เป็นสีน้ำผึ้งหรือผิวสองสีเท่ๆ นะคะ ผิวสีนี้ทางอเมริกาเหนือและยุโรปโปรดนักแล เพราะถือว่าแมนและดูสุขภาพดีค่ะ
     Tanned Limhwa Mano Elf 
    ภาพนี้ตอนยังไม่ได้แต่งหน้าเลยนะคะ แต่อาร์ติสเธอปั้นหน้าได้เก่งมากชนิดที่ ถึงไม่แต่งก็ยังมีแสงเงาช่วยให้ดูเป็นธรรมชาติมากเลยค่ะ ดอลฟี่ของบางบริษัทปั้นหน้าออกมาแบนสนิทต้องพึ่งแต่งหน้าให้สวย แต่รุ่นนี้ไม่ต้องเลยค่ะ อะเหยยยย...ผิวใช้ยูรีเทนเรซินสีแทนนะคะ ปั้นกล้ามได้งามและเหมือนจริงมั่กๆๆๆๆ แต่ต้องยอมรับว่าพ่อชูร่าเน้นความงามค่ะ ระบบข้อต่อเบสิคมาก ไม่มีอะไรพิสดารให้หวือหวาค่ะ

ขนาดของตุ๊กตา

   ขนาดของBJDมีหลายขนาดค่ะ โดยที่ขนาดเล็กที่สุดนั้นจะสูงไม่ถึง 10 cm (tiny) ขนาดใหญ่สุดจะสูงเกิน 70 cm ราคาก็จะตามขนาดของตุ๊กตา อายุของตุ๊กตาแต่ละตัวก็จะแตกต่างกันไป มีตั้งแต่รุ่นอายุ 2-3 ขวบไปจนถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ค่ะ และส่วนใหญ่ส่วนสัดร่างกายของตุ๊กตาจะเหมือนจริง
BJDเด็กน้อย รูปนี้ไม่เหมือนตุ๊กตาเลย -3- น่ารักกก

    มีตุ๊กตาที่เป็นคนแล้ว ก็ต้องมีตุ๊กตาที่เป็นสัตว์ด้วยค่ะ ซึ่งเราเองก็ชอบเหมือนกัน >.< อยากได้แล้วอยากได้อีกเป็นร้อยล้านรอบ

ออกแนวสัตว์ในเทพนิยายนะคะ^^


BJD ราคาประมาณเท่าไหร่?

    คงเป็นคำถามที่ทุกคนรอมานาน ราคาของBJDแตกต่างกันมากๆ เลยค่ะ ขึ้นอยู่กับขนาดและบริษัทผู้ผลิต ยิ่งขนาดใหญ่ก็จะยิ่งแพงซึ่งเป็นปกติ ส่วนบริษัทผู้ผลิต ถ้าเป็น Volks ของญี่ปุ่นก็รับประกันความแพงได้เลย ราคาย่อมลงมาหน่อยคือบริษัทของทางเกาหลี และย่อมเยาสุดเห็นจะเป็นจีนค่ะ 

    โดยส่วนใหญ่จะแนะนำว่าควรมีตังค์ในมือซัก 15,000 บ.ขึ้นไปสำหรับรุ่นเล็ก 20,000 บ.ขึ้นไปสำหรับรุ่นกลาง และ 25,000 บ.ขึ้นไปสำหรับรุ่นใหญ่ค่ะ
อย่าลืมนะคะว่าตัวหนึ่งนั้นเราจะต้องมีเสื้อผ้า หน้า ผม รองเท้าควบคู่ไปด้วย มันจึงต้องมีเงินคงคลังอย่างน้อยๆ ตามที่บอกไว้ค่ะ (^^’) //ก็อย่างที่เราบอก อยากได้มากพอเราเห็นราคาแล้วรู้สึกตาลายเลย แต่ยังไงก็ยังรักอยู่ดีอะนะ//


ขอแบ่งปันความน่ารักของBJDอีกซักนิด อย่ารำคาญๆรูปเราเยอะๆ


Mad Hatter จากเรื่อง Alice in wonderland






จากเรื่อง 19 Days [Old Xian]


ปิกะ ปิกะ ปิกะจู
    สุดท้ายนี้เราก็ขอขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาแวะเวียนเยี่ยมชมนะคะ ใครที่ใจดีฝากซื้อBJDด้วยละกัน55+ แต่ขอฟรีนะ สำหรับweekนี้ก็ขอพอแค่นี้ก่อนละกัน แล้วพบกันใหม่ค่ะ ^^

b y บ า ย เ อ็ ม จี

ขอขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ

ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก http://images.sodahead.com/polls/000385307/polls_bjd_eyes_position_4520_57340_answer_5_xlarge.jpeg
http://i00.i.aliimg.com/wsphoto/v0/760596526/Feeple65chloe-elf-font-b-bjd-b-font-sd-doll-soom-font-b-fairyland-b-font-fl.jpg
http://img01.cp.aliimg.com/imgextra/i2/264340664/T24G16XmVaXXXXXXXX_!!264340664.jpg
https://www.facebook.com/pages/BJD-House/530676226997027?fref=ts
http://s1137.photobucket.com/user/chichibanban/media/6952934385_a5437280cd_b.jpg.html
http://fc01.deviantart.net/fs70/f/2013/118/2/f/favorite_pastime_by_kimirra_bjd-d63c18e.jpg


วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK4: โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) 
ขอบคุณภาพจาก http://ekonomi.haber7.com/sektorler/haber/958555-yazilim-projelerine
-20-milyon-liraya-kadar-hibe

 ภาษาคอมพิวเตอร์ (Computer Language) คือภาษาที่ใช้ หรือเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมักใช้ร่วมกับภาษาโปรแกรม แต่ภาษาคอมพิวเตอร์นั้นมีความหมายที่กว้างกว่า โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นภาษาโปรแกรม โดยจะสามารถแบ่งออกเป็นยุคหรือเป็นรุ่นของภาษา (Generation) ซึ่งในยุคหลังๆ จะมีการพัฒนาภาษาให้มีความสะดวกในการอ่านและเขียนง่ายขึ้นกว่าภาษาในยุคแรกๆ เนื่องจากจะมีโครงสร้างภาษาใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ เราสามารถแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุคดังนี้

1. ภาษาเครื่อง (Machine Language) 

   เป็นภาษาที่เกิดขึ้นในยุคแรกสุด และเป็นภาษาเดียวที่เครื่องคอมพิวเตอร์จะสามารถเข้าใจคำสั่งได้ ภาษาเครื่องจะแทนข้อมูลหรือคำสั่งในโปรแกรมด้วยกลุ่มของตัวเลข 0 และ 1 หรือที่เรียกว่าเลขฐานสอง ซึ่งจะสัมพันธ์กับการเปิด (On) และการปิด (Off) ของสัญญาณไฟฟ้าภายในเครื่องคอมพิวเตอร์

2. ภาษาแอสแซมบลี (Assembly Language) 

   เป็นภาษาที่มีการใช้สัญลักษณ์ข้อความ (Mnemonic codes) แทนกลุ่มของเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากกว่าภาษาเครื่อง แต่เนื่องจากคอมพิวเตอร์รู้จักเฉพาะภาษาเครื่องเท่านั้น ดังนั้นภาษาแอสแซมบลี จึงต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่า “แอสแซมเบลอร์ (Assembler)” เพื่อแปลคำสั่งภาษาแอสแซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง นอกจากนี้ผู้ที่จะเขียนโปรแกรมภาษาแอสแซมบลี ได้จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของฮาร์ดแวร์เป็นอย่างดีเนื่องจากต้องยุ่งเกี่ยวกับการใช้งานหน่วยความจำที่เป็นรีจิสเตอร์ภายในตลอด ดังนั้นจึงเหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วในการทำงานสูง ถึงแม้ว่าภาษานี้จะง่ายกว่าการเขียนภาษาเครื่อง แต่ก็ยังถือว่าเป็นภาษาชั้นต่ำที่ยังยากต่อการเขียนและการเรียนรู้มากสำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านฮาร์ดแวร์นัก

3. ภาษาชั้นสูง (High-level Language) 

    เรียกอีกอย่างว่าภาษารุ่นที่ 3 (3rd Generation Languages หรือ 3GLs) เป็นภาษาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้สามารถเขียนและอ่านโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีลักษณะเหมือนภาษาอังกฤษทั่วๆ ไป และที่สำคัญคือ ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบฮาร์ดแวร์ ตัวอย่างของภาษาประเภทนี้ ได้แก่ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) โคบอล (COBOL) เบสิก (BASIC) ปาสคาล (PASCAL) ซี (C) เอดา (ADA) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น

4. ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level Language)

 เรียกได้อีกอย่างว่าภาษาในรุ่นที่ 4 (4GLs: Fourth Generation Languages) ภาษานี้เป็นภาษาที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าภาษารุ่นที่ 3 มีลักษณะของภาษาในรุ่นที่เป็นธรรมชาติคล้ายๆ กับภาษาพูดของมนุษย์จะช่วย ในเรื่องของการสร้างแบบฟอร์มบนหน้าจอเพื่อจัดการเกี่ยวกับข้อมูล รวมไปถึงการออกรายงาน ซึ่งจะมีการจัดการที่ง่ายมากไม่ยุ่งยากเหมือนภาษารุ่นที่ 3 ตัวอย่างของภาษาในรุ่นที่ 4 ได้แก่ Informix-4GL, Focus, Sybase, InGres เป็นต้น

5. ภาษาธรรมชาติ (Natural Language) 

    เป็นภาษาในยุคที่ 5 ที่มีรูปแบบเป็นแบบ Nonprocedural เช่นเดียวกับภาษารุ่นที่ 4 ภาษา ธรรมชาตินี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากเทคโนโลยีทางด้านระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) ซึ่งเป็นงานที่อยู่ในสาขาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในการที่พยายามทำให้คอมพิวเตอร์เปรียบเสมือนกับเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง ที่สามารถคิดและตัดสินใจได้เช่นเดียวกับมนุษย์ การที่เรียกว่าภาษาธรรมชาติ เพราะมนุษย์สามารถใช้ภาษาพูดป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง ซึ่งอาจมีรูปแบบที่ไม่แน่นอนตายตัว แล้วคอมพิวเตอร์ก็จะแปลคำสั่งเหล่านั้น ให้อยู่ในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ ถ้าคำถามใดไม่กระจ่างก็จะมีการถามกลับเพื่อให้เข้าใจคำถาม เมื่อเข้าใจคำถามแล้วคอมพิวเตอร์ก็จะสามารถตอบคำถามของมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งมีข้อแนะนำต่างๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจของมนุษย์ได้อีกด้วย


ภาษาซี (C)

ขอบคุณภาพจาก http://www.dreamscoder.com/images/Languages/c.png
    ภาษาซี (C programming language)เป็นภาษาโปรแกรมเชิงโครงสร้างระดับสูงที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 โดย เคน ธอมป์สัน (Ken Thompson) และ เดนนิส ริทชี่ (Dennis Ritchie) ขณะทำงานอยู่ที่ เบลล์เทเลโฟน เลบอราทอรี่ สำหรับใช้ในระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ต่อมาภายหลังได้ถูกนำไปใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นๆ และกลายเป็นภาษาโปรแกรมหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด ภาษาซีมีจุดเด่นที่ประสิทธิภาพในการทำงาน เนื่องจากมีความสามารถใกล้เคียงกับภาษาระดับต่ำ แต่เขียนแบบภาษาระดับสูง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนด้วยภาษาซีจึงทำงานได้รวดเร็ว ภาษาซีเป็นภาษาโปรแกรมที่นิยมใช้กันมากสำหรับพัฒนาระบบปฏิบัติการ,ซอฟต์แวร์ระบบ, ควบคุมไมโครคอนโทรลเลอร์ และเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปในหลักสูตรวิทยาการคอมพิวเตอร์

ภาษาซีพลัสพลัส (C++)

ขอบคุณภาพจาก http://www.unixstickers.com/image/cache/data/stickers/C/C
++-unofficial.sh-600x600.png
     ภาษาซีพลัสพลัส (C++ programming language) เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์อเนกประสงค์ มีโครงสร้างภาษาที่มีการจัดชนิดข้อมูลแบบสแตติก (statically typed) และสนับสนุนรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่หลากหลาย (multi-paradigm language) ได้แก่ การโปรแกรมเชิงกระบวนคำสั่ง, การนิยามข้อมูล, การโปรแกรมเชิงวัตถุ, และการโปรแกรมแบบเจเนริก (generic programming) ภาษาซีพลัสพลัสเป็นภาษาโปรแกรมเชิงพาณิชย์ที่นิยมมากภาษาหนึ่งนับตั้งแต่ ช่วงทศวรรษ 1990 
     Bjarne Stroustrup จากห้องวิจัยเบลล์ (Bell Labs) เป็นผู้พัฒนาภาษา C++ ขึ้น (เดิมใช้ชื่อ "C with classes") ในปีค.ศ. 1983 เพื่อพัฒนาภาษาซีดั้งเดิม สิ่งที่พัฒนาขึ้นเพิ่มเติมนั้นเริ่มจากการเพิ่มเติมการสร้างคลาสจากนั้นก็ เพิ่มคุณสมบัติต่างๆ ตามมา ได้แก่ เวอร์ชวลฟังก์ชัน การโอเวอร์โหลดโอเปอเรเตอร์ การสืบทอดหลายสาย เท็มเพลต และการจัดการเอ็กเซ็พชัน มาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัสได้รับการรับรองในปีค.ศ. 1998 เป็นมาตรฐาน ISO/IEC 14882:1998 เวอร์ชันล่าสุดคือเวอร์ชันในปีค.ศ. 2003 ซึ่งเป็นมาตรฐาน ISO/IEC 14882:2003 ในปัจจุบันมาตรฐานของภาษาในเวอร์ชันใหม่ (รู้จักกันในชื่อ C++0x) กำลังอยู่ในขั้นพัฒนา

ภาษาซีชาร์ป (C#)

ขอบคุณภาพจาก http://www.unixstickers.com/image/cache/data/stickers
/C/C++-unofficial.sh-600x600.png
    ภาษาC#เป็นภาษา โปรแกรมเชิงวัตถุทำงานบน .Netframework พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์และ มี Anders Hejlsberg เป็นหัวหน้าโครงการ โดยมีรากฐานมาจากภาษา C++ และภาษาอื่นๆ (โดยเฉพาะภาษาเดลไฟและจาวา) โดยปัจจุบันภาษาC#เป็นภาษามาตรฐานรองรับโดย ECMA และ ISO
ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาและปรับรูปแบบของ ภาษา C# อยู่ตลอดเวลาโดยทาง Microsoft ได้นำภาษา C# ไปอยู่ในชุดพัฒนา software อย่าง visual studio ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น

ภาษาจาวา (Java)

ขอบคุณภาพจาก https://www.maxcode.net/wp-content/uploads/2015/03/java.png
    พัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเขียนโปรแกรมและใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทและระบบ ปฏิบัติการทุกรูปแบบ ในช่วงแรกที่เริ่มมีการนำภาษาจาวามาใช้งานจะเป็นการใช้งานบนเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต เป็นภาษาที่เน้นการทำงานบนเว็บ แต่ปัจจุบันสามารถสามารถนำมาประยุกต์สร้างโปรแกรมใช้งานทั่วไปได้
นอกจากนี้ เมื่อเทคโนโลยีของการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป หรือ แม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและใช้งาน ระบบเวิลด์ไวด์เว็บได้ ภาษาจาวาก็สามารถสร้างส่วนที่เรียกว่า “แอปเพล็ต” (Applet) ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวข้างต้น เรียกใช้งานจากเครื่องที่เป็นแม่ข่าย (Server) ได้
b y บ า ย เ อ็ ม จี
อ้างอิง :

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

   ในปัจจุบัน เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า Social Network มีอิทธิพลกับสังคมไทยอย่างมากขึ้นในทุกๆวัน อย่างเช่น การติดต่อสื่อสาร การทำงานเพื่อหารายได้ การแลกเปลี่ยนข้อมูล อัปโหลดรูปภาพ หรืออะไรก็ตาม จึงทำให้สมัยนี้อะไรๆก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ขอบคุณภาพจาก http://responsivepixel.co.nz/wp-content/uploads/2014/02
/social-media-mess.jpg
   "Social Network" เพื่อนทุกๆคนอาจได้ยินคำๆนี้จนติดหู แต่เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่า Social Network คืออะไร? เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดคุณหรือโทษ แล้วมีวิธีแก้ไข ป้องกันปัญหาที่มาจาก Social Network หรือไม่ เรามาดูกันดีกว่าค่ะ 

Social Network คืออะไร?

    Social Network หรือ เครือข่ายสังคม (ชุมชนออนไลน์) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแช็ต ส่งข้อความ ส่งอีเมลล์ วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป บล็อก 
    การทำงานคือ คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ในรูปฐานข้อมูล sql ส่วน video หรือ รูปภาพ อาจเก็บเป็น ไฟล์ก็ได้ บริการเครือข่ายสังคมที่เป็นที่นิยมได้แก่ Hi5, Facebook,MySpace.com, twitterโดยเว็บเหล่านี้มีผู้ใช้มากมาย เช่น Facebook เป็นเว็บไซต์ที่คนไทยใช้มากที่สุด ในขณะที่ออร์กัตเป็นที่นิยมมากที่สุดในประเทศอินเดีย
ขอบคุณภาพจาก http://www.tibbr.com/blog/wp-content/uploads/2013/01/
enterprise-social-media.jpg
    Social Network เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์เสมือนที่ตอบสนองกับการสร้างสายสัมพันธ์ โยงใยให้เราได้เจอบุคคลที่คุยกันในเรื่องที่สนใจได้อย่างคอเดียวกัน สามารถเชื่อมโยงเพื่อนของเรา เข้ากับเพื่อนของเขา สามารถสร้างสรรค์สังคมใหม่ๆให้กับทุกคน สามารถเชื่อมโยงการสื่อสารภายในองค์กร และภายนอกองค์กรเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอบสนองรูปแบบชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบันนั่นเองครับ โดยภาพรวม Social Network เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับองค์กรจากปากคำของเราเองได้เป็นอย่างดี ผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่จะสามารถสื่อสารกับคนในองค์กรของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องประสบปัญหาการบิดเบือนข้อความ หรือการสื่อสารที่ตกหล่นอีกต่อไป ครูอาจารย์สามารถให้แง่คิดหรือสิ่งละอันพันละน้อยแก่ลูกศิษย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พูดกันทีเดียวคราวละยาวๆ นักวิจัยอาจพบอะไรที่น่าสนใจแล้วสื่อสารให้รู้กันทุกคนในเครือข่ายเดียวกันได้ทันทีเพื่อให้ทีมรับรู้สิ่งน่าสนใจไปพร้อมๆกัน  

ประโยชน์ของ Social Network  

ขอบคุณภาพจาก http://cdn.slashgear.com/wp-content/uploads/2014/06/social-media.jpg
    ในวัยเรียนอย่างเราก็ใช้ Social Network ในการศึกษาเช่นกัน อย่างเช่น การปรึกษางานกลุ่มผ่านทาง Line, การเข้าร่วมกลุ่มติวข้อสอบ GAT/PAT หรือ O-NET ในFacebookเพื่อลองแนวข้อสอบ หรือในบางที อาจารย์บางท่านอาจมีการสั่งงานนักเรียนผ่านทาง Line ห้องบ้าง ส่งงานผ่านทาง Facebook บ้าง  เราขอยกตัวอย่างจากเพื่อนเราคนหนึ่ง เพื่อนเราเมื่อก่อนเป็นคนไม่เล่นโซเชียล  แต่อาจารย์ท่านนัดให้ส่งงานผ่านทาง Facebook เพื่อนเราคนนั้นไปสมัคร Facebook แทบไม่ทันเลยที่เดียว 55+
  หรือในบางครั้งบางทีที่เรากำลังเล่น Facebook ทุกคนคงเคยเห็นคนใช้ Facebook เพื่อทำงาน ฝากขายสินค้า โฆษณาต่างๆหรือประชาสัมพันธิ์ ทุกๆอย่างที่กล่าวมานั่นก็คือการใช้ประโยชน์อีกด้านหนึ่งนอกจากการศึกษา เนื่องจากเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดีและยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูก จึงทำให้บริษัทต่างๆเริ่มหันมาใช้ประโยชน์จาก Social Network กันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นเราจึงเห็นได้ชัดว่า ณ ปัจจุบัน เป็นยุคของ Social Network กันไปแล้ว


ข้อดี - ข้อเสีย ของ Social Network

ขอบคุณภาพจาก  https://0.s3.envato.com/files/80793134/preview.jpg
       ในโลกไซเบอร์ก็เหมือนสังคมรอบข้างตัวเรา มีใส่หน้ากาก กัดกันข้างหลัง มีนิสัยดี นิสัยชั่ว มีการสงสัย การระวังคนรอบข้าง มีหมดทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมดาของโลก แต่เราจะสามารถคัดกรองกลุ่มคนยังไงได้นั้น ก็ต้องใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ หรือพิจารณา คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนดี สักวันหนึ่งอาจจะกลับกลายเป็นคนชั่วไปก็เป็นได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอน เพียงแต่เราจะมองโลกในแง่บวก หรือแง่ลบ เท่านั้นเอง เช่นเดียวกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว และใน Social Network ก็เช่นเดียวกัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีของ Social Network

  • สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
  • เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่าง ๆเพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว
  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดีโอต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
  • ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ บริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ
  • ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ ๆ
     


ข้อเสียของ Social Network

  • เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล
  • เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรืออาจนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่มีข่าวในสื่อหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ
  • เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพ ต่าง ๆได้

  เราเชื่อว่าเพื่อนๆน่าจะรู้จักคำว่า Social Network เพิ่มมากขึ้นนะคะ เราอยากจะฝากบอกกับทุกๆคนว่าไม่ว่ายังไงก็ตามเราก็ควรใช้ 
Social Network ไปในทางที่ถูกที่ควร ไม่ควรนำไปใช้เพื่อหลอกต้มตุ๋นผู้อื่น หรือใช้ไปในทางที่ไม่ดี 
  สำหรับวันนี้เราก็ขอจบเพียงเท่านี้นะคะ สวัสดีค่ะ :)
b y บ า ย เ อ็ ม จี
อ้างอิง 
  https://sites.google.com/site/socialnetworkfc/social-network-khux-xari

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK2 : MY SPORT:)

ขอบคุณภาพจาก http://hilight.kapook.com/view/71895
     สวัสดีค่ะ :) ครั้งนี้เราก็มาแนวกีฬาค่ะ กีฬาที่เราจะพูดถึงนั่นก็คือแบดมินตัน เป็นกีฬาที่เราสนใจและเราก็คิดว่าเพื่อนๆก็คงคุ้นเคยกับกีฬาชนิดนี้เป็นอย่างดี
     ในครั้งนี้เรามีเทคนิคการเล่นแบดมินตันที่เราได้รู้มาฝากให้ทุกๆคนได้ลองใช้ดู (เผื่อไปเล่นแข่งกับเพื่อนๆ^^) แต่ก่อนที่จะไปดูเทคนิคการเล่น เราก็ขอแนะนำกีฬานี้ให้เพื่อนๆได้รู้วิธีการเล่นและกติกาการเล่นของกีฬาแบดมินตันแบบคร่าวๆละกันนะคะ :D
 
    แบดมินตัน (อังกฤษ: Badminton) เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ที่ใช้ไม้ตีลูก ลูกสำหรับใช้ตีนั้น เรียกกันมาช้านานว่า "ลูกขนไก่" เพราะสมัยก่อนกีฬานี้ใช้ขนของไก่มาติดกับลูกบอลทรงกลมขนาดเล็ก ปัจจุบันลูกขนไก่ผลิดจากขนเป็ดที่คัดแล้ว ลูกบอลทรงกลมขนาดเล็กที่ทำเป็นหัวลูกขนไก่ทำด้วยไม้คอร์ก
ขอบคุณภาพจาก http://www.thaihealth.or.th/data/content/8037
/cms/8037_thaihealth_cp192ibw8dxg.jpg
     กีฬาแบดมินตันจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 ประเภท คือ "ประเภทเดี่ยว" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 1 คน และ "ประเภทคู่" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 2 คน การเล่นรอบหนึ่งเรียกว่า 1 แมทช์ แมทช์ละ 3 เกม (บางคนเรียกเซ็ท) ตัดสินแพ้ชนะ 2 ใน 3 เกม มีกำหนดคะแนนสูงสุด 21 คะแนน ฝ่ายใดทำคะแนนได้ถึง 21 คะแนนก่อนจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น
กติกาการเล่นแบดมินตันที่ถูกต้องตามหลักสากล รู้และนำไปใช้ในการเล่นแบตมินตัน
ขอบคุณภาพจาก http://www.muruchi.info/wp-content/uploads/2014/09/1011.jpg
กติกาการเล่นเบื้องต้น
  1. การออกนอกเส้น มีการกำหนดเส้นออกแต่งต่างกันในกรณีเล่นเดี่ยวและเล่นคู่
  2. การเสิร์ฟลูก ตามกติกา ที่ถูกต้อง คือ
    2.1. หัวไม้ขณะสัมผัสลูกต้องต่ำกว่าข้อมืออย่างเห็นได้ชัด
    2.2. หัวไม้ขณะสัมผัสลูกต้องต่ำกว่าเอวอย่างเห็นได้ชัด
    2.3. ผู้เล่นต้องไม่ถ่วงเวลา หรือเสริฟช้า หรือเสริฟ 2 จังหวะ การเสริฟ ต้องเสริฟไปด้วยจังหวะเดียว
    2.4. ขณะเสิร์ฟ ส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าทั้ง 2 ข้างต้องสัมผัสพื้นตลอดเวลา
    2.5. การเสิร์ฟลูกที่ถูกต้อง ต้องให้แร็กเก็ตสัมผัสกับหัวลูกก่อน หากโดนขนก่อนถือว่าผิดกติกา
  3. ขณะตีลูกโต้กัน ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายหรือไม้แบดไปสัมผัสกับเน็ท
  4. ห้ามตีลูกที่ฝั่งตรงข้ามโต้กลับมา ในขณะที่ลูกยังไม่ข้ามเน็ทมายังแดนเรา(Over net)

กติกาการนับคะแนนแบตมินตัน
   1. แมทช์หนึ่งต้องชนะให้ได้มากที่สุดใน 3 เกม
   2. ทุกประเภทของการแข่งขัน ฝ่ายที่ได้ 21 คะแนนก่อนเป็นฝ่ายชนะในเกมนั้น ยกเว้นเมื่อได้ 20 คะแนนเท่ากันต้อง นับต่อให้มีคะแนนห่างกัน 2 คะแนน(การดิวส์) ฝ่ายใดได้คะแนนนำ 2 คะแนนก่อนเป็นผู้ชนะ แต่ไม่เกิน 30 คะแนน หมายความว่าหากการเล่นดำเนินมาจนถึง 29 คะแนนเท่ากัน ฝ่ายใดได้ 30 คะแนนก่อน เป็นผู้ชนะ
   3. ฝ่ายชนะเป็นฝ่ายส่งลูกต่อในเกมต่อไป
   4. ฝ่ายชนะการเสี่ยงสิทธิ์เป็นฝ่ายส่งลูกได้ก่อน หากฝ่ายตรงข้ามทำลูก "เสีย" หรือลูกไม่ได้อยู่ในการเล่น ผู้เลือกส่งลูกก่อนจะได้คะแนนนำ 1-0 และได้ส่งลูกต่อ แต่หากผู้ส่งลูกทำลูก "เสีย" หรือลูกไม่อยู่ในการเล่น ฝ่ายตรงข้ามจะได้คะแนนตามมาทันทีเป็น 1-1 และฝ่ายตรงข้ามจะได้สิทธิ์ส่งลูกแทน ดำเนินเช่นนี้ต่อไปจนจบเกม
   5. ประเภทคู่ให้ส่งลูกฝ่ายละ 1 ครั้ง ตามคะแนนที่ได้ ขณะที่เปลี่ยนฝ่ายส่งลูก หากคะแนนเป็นจำนวนคี่ ผู้อยู่คอร์ดด้านซ้ายเป็นผู้ส่งลูก หากคะแนนเป็นจำนวนคู่ผู้อยู่คอร์ดด้านขวาเป็นฝ่ายส่งลูก

     เป็นยังไงกันบ้างคะกับกีฬาแบตมินตัน? เมื่อได้รู้วิธีการเล่นและกติกาแล้ว เราก็มาต่อกันด้วยเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่เอาไว้ใช้ในการแข่งขันกันเลยค่ะ เริ่มต้นกันด้วย "ช่องว่าง"ต่างๆที่เกิดขึ้นในแบดมินตัน

   ถ้าพูดถึง ”ช่องว่าง” ในกีฬาแบดมินตันแล้ว นักแบดมินตันหลายคนก็คงจะนึกถึงการตีเข้าใส่พื้นที่ว่างในสนามแข่งขันเพื่อให้คู่แข่งขันต้องเคลื่อนที่ไปรับลูก ช่องว่างนี้เป็นช่องว่างที่เห็นได้ชัดที่สุด แต่นั่นไม่ใช่ช่องว่างเพียงช่องเดียวเท่านั้น ถ้าเราสังเกตุให้ดีก็จะพบว่ายังมีช่องว่างอื่น ๆ อีกมากมาย เราอาจแบ่งได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ขอบคุณภาพจาก https://peesukekung.files.wordpress.com/2011/01/img258926389.jpg
   1. ช่องว่างที่เกิดจากตำแหน่งการยืน
ช่องว่างนี้เป็นช่องว่างที่เห็นได้ง่ายที่สุด กล่าวง่าย ๆ ก็คือตำแหน่งที่ไกลมือคู่แข่งขันมากที่สุด ช่องว่างนี้จะเกิดขึ้นจากตำแหน่งการยืนของคู่แข่งขัน ถ้าคู่แข่งขันขยับมาข้างหน้า ช่องว่างที่เกิดก็คือพื้นที่ในแดนหลัง ถ้าคู่แข่งขันขยับไปทางซ้าย ช่องว่างก็จะเกิดขึ้นทางขวา การตีเข้าหาช่องว่างจะทำให้คู่แข่งขันต้องขยับตัวเพื่อเข้าหาลูก ถ้าเราตีได้แม่นยำพอ คู่แข่งขันก็จะรับลูกลำบากหรือไม่สามารถตีลูกกลับมาได้
   2. ช่องว่างที่เกิดจากการเคลื่อนไหว
ช่องว่างนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคู่แข่งขันของเราทำการเคลื่อนไหว เมื่อใดที่คู่แข่งขันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปทางใดทางหนึ่ง ช่องว่างจะเกิดขึ้นโดยทันทีในด้านตรงข้ามกับทางที่คู่แข่งขันเคลื่อนไหวไป การจะตีลูกเข้าหาช่องว่างนี้ต้องใจเย็น เราต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของคู่แข่งขันให้ดี เมื่อคู่แข่งขันออกตัวเคลื่อนไปทางใดทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ให้ตีไปยังตำแหน่งอีกด้านของคู่แข่งขันในทันที แม้เราจะตีไปในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากคู่แข่งขันเท่าใดนัก แต่รับรองได้ว่าคู่แข่งขันยากที่จะย้อนกลับมาตีลูกได้ทัน
   3. ช่องว่างที่เกิดจากความคิดและความรู้สึก
ช่องว่างนี้คือช่องว่างที่เกิดจากการที่เราตีลูกไปในตำแหน่งที่คู่แข่งขันคาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น การหลอกหน้าไม้ว่าจะตีไปทางหนึ่ง แต่กลับพลิกหน้าไม้ตีไปอีกทางหนึ่ง อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการเล่นลูกแบ็คแฮนด์ ถ้าปกติเรามักจะเล่นลูกแบ็คแฮนด์ด้วยการแปะหยอดหน้าเน็ต(เพราะกลัวตีไม่ถึงหลัง) คู่แข่งขันก็มักจะคาดการณ์ว่าเราจะตีแบบนี้ตลอดเมื่อต้องตีด้วยแบ็คแฮนด์ ดังนั้นบางจังหวะเราอาจเปลี่ยนเป็นการตีแบ็คแฮนด์ให้ลูกพุ่งขนานกับพื้นหรือตีโยนไปแดนหลังแทน
   4. ช่องว่างที่เกิดจากเทคนิคการเล่น
ช่องว่างนี้ก็คือจุดอ่อนในเทคนิคการเล่นของนักแบดแต่ละคน การโจมตีช่องว่างนี้ถือเป็นอีกกลยุทธหลักที่มักจะใช้ในการแข่งขัน ช่องว่างนี้มีมากมายในวงการแบดมินตันสมัครเล่น ยกตัวอย่างเช่น นักแบดสมัครเล่นมักจะอ่อนแบ็คแฮนด์ บางคนก็มักจะตีไม่ค่อยถึงแดนหลัง หรือบางคนก็มีปัญหาเรื่องการเล่นลูกหน้าเน็ต เป็นต้น
การป้องกันช่องว่างของตนเอง
ขอบคุณภาพจาก http://i.bug-a-boo.tv/images/b689983bed765d7c68e9cc00ceca2aab/1.jpg
   การโจมตีใส่ช่องว่างของคู่แข่งขันสามารถทำให้เราได้รับชัยชนะฉันใด ถ้าคู่แข่งขันหาช่องว่างของเราเจอ เราก็อาจพ่ายแพ้ได้ฉันนั้น ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้วิธีป้องกันช่องว่างของเราเองด้วย
   1. การป้องกันช่องว่างที่เกิดจากตำแหน่งการยืน
หลังจากที่ตีลูกในแต่ละครั้ง ให้รีบวิ่งเข้าสู่ตำแหน่งการยืนที่เหมาะสม เป็นไปได้ให้คิดล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนที่จะตีลูกก็จะดี เพราะจะได้มีเวลาในการเคลื่อนไหวมากขึ้น การจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจำเป็นต้องมีการก้าวเท้าที่ถูกต้อง ดังนั้นการฝึกวิ่งคอร์ทก็จะช่วยลดช่องว่างที่เกิดจากตำแหน่งการยืนได้เช่นกัน
   2. การป้องกันช่องว่างที่เกิดจากการเคลื่อนไหว
การเคลื่อนไหวต้องทันท่วงที อย่าเคลื่อนไหวในขณะที่คู่แข่งขันกำลังจะตีลูก ในจังหวะที่คู่แข่งขันจะตีลูก เท้าทั้งสองของเราควรจะหยุดอยู่กับที่ในตำแหน่งการยืนที่เหมาะสม รอจนกระทั่งคู่แข่งขันตีลูกถึงค่อยเคลื่อนตัว
   3. การป้องกันช่องว่างที่เกิดจากความคิดและความรู้สึก
อย่างแรกที่ต้องทำคือการยืนในตำแหน่งที่เหมาะสม หลังจากนั้นก็ต้องมีสมาธิ คอยจับตาดูการตีลูกของคู่แข่งขันให้ดี การป้องกันช่องว่างนี้ยังต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยเช่นกัน ถ้าเราฝึกตีแบดบ่อย ๆ ช่องว่างนี้ก็มีโอกาสที่จะเกิดได้ยาก
   4. การป้องกันช่องว่างที่เกิดจากเทคนิคการเล่น
ต้องหมั่นฝึกฝนเทคนิคการเล่นแบดมินตันทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นลูกตบ,ลูกแย็บ,ลูกดาด,ลูกหยอด ฯลฯ ก็ต้องขยันฝึกฝนเพื่อกลบช่องว่างตรงนี้ให้ได้ แต่ยังไงก็ตามแต่ สำหรับนักแบดสมัครเล่นก็คงยากที่จะมีเทคนิคการตีที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นเราจึงต้องอาศัยการยืนตำแหน่งเพื่อลดช่องว่างนี้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอ่อนแบ็คแฮนด์ ตำแหน่งการยืนของคุณก็ควรจะยืนให้เยื้องไปทางซ้ายมือ(หมายถึงนักแบดที่ถนัดขวา) ส่วนถ้าคุณกลัวลูกตัดหยอด คุณก็อาจจะยืนตำแหน่งให้เยื้องไปข้างหน้ามากซักหน่อย ยืนเยื้องมาทางซ้ายจะได้ใช้โฟร์แฮนด์เพื่อปิดช่องว่างที่เกิดจากแบ็คแฮนด์
    ถึงแม้ว่าเราจะระมัดระวังอย่างเต็มที่แค่ไหนก็ตาม แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เกิดช่องว่างขึ้น แต่จงจำไว้ว่า ยิ่งเราสามารถทำให้โอกาสที่จะเกิดช่องว่างน้อยลงไปมากเท่าใด โอกาสที่เราจะได้รับชัยชนะในการแข่งขันก็ยิ่งสูงมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ขอบคุณภาพจาก http://www.teebadgun.com/uploads/contents/33/53a9586
c9c432.jpg
    นี่คือส่วนหนึ่งของเทคนิคที่เราแอบเอามาใช้บ่อยๆ แต่เราคิดว่ายังมีเทคนิคในการเล่นแบดมินตันอีกมากมาย หากใครมีเทคนิคยังไงนอกจากนี้ ก็มาแลกเปลี่ยนกับเราได้นะค
 สุดท้ายเราขอฝากบอกกับทุกๆคนที่เข้ามาอ่านว่า "กีฬาเป็นยาวิเศษค่ะ" 55+ ไม่มีอะไรมาก ออกกำลังกายอย่างพอดี = ร่างกายแข็งแรง + หุ่นเฟิร์มนะคะ :) แล้วพบกันใหม่ค่ะ Bye...
b y บ า ย เ อ็ ม จี

อ้างอิง : 
http://www.badmintoncn.com/Article/b/200610/Article_20061017210309.html
http://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=zeng&month=12-2008&date=09&group=18&gblog=11
http://guru.sanook.com/8125/
http://th.m.wikipedia.org/wiki/แบดมินตั



วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

WEEK1_เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน

     ในยุคนี้การใช้ชีวิตของคนเราในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีตั้งแต่เริ่มตื่นนอน เพราะในการตื่นนอนก็ต้องใช้นาฬิกาปลุกหรือมือถือตั้งปลุก การทำอาหารก็ต้องใช้ไมโครเวฟ ไม่ส่าจะเป็นการซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน การสื่อสาร การเดินทางหรืออะไรก็ตามในปัจจุบันล้วนต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีอยู่เสมอ เพราะมนุษย์ได้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องในการพัฒนาด้านต่างๆเพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ ที่เราใช้ในทุกๆวันก็อย่างเช่น เรื่องของการสื่อสารกับการเดินทางของเรา
ขอบคุณรูปภาพจาก http://my.dek-d.com/genarelsteam12/writer/view.php?id=1109221
•ด้านการสื่อสาร...ไร้พรมแดน
    ทุกวันนี้เราอาศัยเทคโนโลยีในการสื่อสารแทนการส่งจดหมายแบบเก่าๆแล้ว✉️ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน การสื่อสารผ่านทาง Social Network หรือ Application ต่างๆ เช่น Facebook, Twitter, Line, WhatsApp, Skype, BeeTalk และอื่นๆอีกมากมาย

ขอบคุณรูปภาพจาก http://thumbsup.in.th/2014/02/japan-favorite-social-network/
      ซึ่งการใช้เทคโนโลยีพวกนี้ในชีวิตจะทำให้สะดวก รวดเร็ว ไร้ขีดจำกัด แถมยังมีความสามารถอย่างหลากหลาย จึงทำให้ในปัจจุบันนิยมใช้กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเห็นได้ว่า ณ ปัจจุบัน ขนาดคนที่นั่งข้างกันยังใช้ Lineคุยกันเลย(555+) สิ่งเหล่านี้สื่อให้เห็นว่าผู้คนให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากจนเกินไปจนมีชื่อเรียกกันว่า"สังคมก้มหน้า" [โอม จงเงยขึ้นมาๆ]
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9570000002866
 •การเดินทาง..ไร้ขีดจำกัด
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=1087871&page=139
         ในสมัยยุคปัจจุบันนี้การเดินทางไปไหนมาไหนนั้นแสนจะง่ายดาย ไม่เหมือนยุคก่อนๆสมัยหลายร้อยปี ที่ยังขี่ช้างขี่ม้าลงเรือ แล้วกว่าจะถึงจุดหมายใช้เวลาเป็นวันเป็นเดือน ปัจจุบันเราสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถไฟฟ้าลอยฟ้าอย่าง BTS หรือจะต่อด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ซึ่งถือว่าให้ประโยชน์กับผู้โดยสารเป็นอย่างมาก ไม่ต้องทนกับรถติดที่เป็นปัญหาระดับชาติในเมืองกรุง และจากการที่มีรถไฟฟ้านั้นก็ส่งผลให้มีเครื่องจำหน่ายตั๋ว ซึ่งสิ่งนี้เองก็ถือเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก หรือให้บริการแก่ผู้ใช้ได้อย่างทั่วถึง
ขอบคุณรูปภาพจาก http://news.hunsa.com
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.bts.co.th/customer/th/01-machine-ticketing-tim.aspx
         อย่างไรก็ตามในการใช้เทคโนโลยีนั้นเราก็ควรใช้ในทางที่ถูกต้องและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเรามากที่สุดไม่ควรใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด และในบางครั้งเราก็ควรหันมาทำอะไรด้วยตนเองโดยไม่พึ่งเทคโนโลยีดู อย่างลองเงยหน้ามาพูดคุยกับคนข้างๆเพื่อที่จะได้มิตรภาพใหม่ๆแทนการก้มมองแต่จอสมาร์ทโฟน หรือลองใช้การเดินทางโดยจักรยานจะได้ประหยัดพลังงานและน้ำมัน เพื่อให้เราได้รู้จักใช้สมองและร่างกายเราฝึกทำอะไรด้วยตนเอง ก่อนที่เราจะต้องตกเป็นทาสของเทคโนโลยี 
b y บายเอ็มจี


อ้างอิง : http://my.dek-d.com/hierophant/blog/
              https://www.l3nr.org/posts/535378